วันพุธที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เอนไซม์ต่างๆในการย่อยอาหาร


เอนไซม์ต่างๆในการย่อยอาหาร




เอนไซม์
แหล่งที่พบในร่างกาย
หน้าที่ของเอนไซม์
อะไมเลส*
ปาก
ย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลมอลโทส
เพปซิน*
และกรดไฮโดรคลอริก
กระเพาะอาหาร
ย่อยโปรตีนให้เป็นเพปไทด์
เรนิน *
ย่อยโปรตีนในน้ำนม
ทริปซิน
ตับอ่อน
ย่อยเพปไทด์ให้เป็นกรดอะมิโน
อะไมเลส
ย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลมอลโทส
ไลเปส
ย่อยไขมันให้เป็น กรดไขมันและกลีเซอรอล
แล็กเทส
ลำไส้เล็ก
ย่อยน้ำตาลแล็กโทสให้เป็นกลูโคสกับกาแล็กโทส
ซูเครส
ย่อยน้ำตาลซูโครสให้เป็นกลูโคสกับฟรักโทส
มอลเทส
ย่อยน้ำตาลมอลโทสให้เป็นกลูโคส

เอนไซม์อะไมเลสในปาก ทำงานได้ดีในสภาวะที่เป็นเบส 
เอนไซม์เพปซินและเรนินในกระเพาะอาหาร ทำงานได้ดีในสภาวะที่เป็นกรด


ที่มา :  http://www.med.cmu.ac.th/dept/vascular/human/lesson/lesson1.php

วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การย่อยอาหารของคน


การย่อยอาหาร

หมายถึง  การทำให้สารอาหารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่กลายเป็นสารอาหารที่มีโมเลกุลเล็กลงจนกระทั่ง
แพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้ การย่อยอาหารในร่างกายมี 2 วิธี คือ

     1. การย่อยเชิงกล    คือการบดเคี้ยวอาหารโดยฟัน เป็นการเปลี่ยนแปลงขนาดโมเลกุลทำให้สารอาหารมีขนาดเล็กลง
     2. การย่อยเชิงเคมี   คือการเปลี่ยนแปลงขนาดโมเลกุลของสารอาหารโดยใช้เอนไซม์ที่เกี่ยวข้องทำให้โมเลกุลของ
สารอาหารเกิดการเปลียนแปลงทางเคมีได้โมเลกุลที่มีขนาดเล็กลง



ปาก ( mouth)   
        การย่อยในปาก   เริ่มต้นจากการเคี้ยวอาหารโดยการทำงานร่วมกันของ ฟัน ลิ้น และแก้ม ซึ่งถือเป็นการย่อยเชิงกล ทำให้อาหารกลายเป็นชิ้นเล็ก ๆ  มีพื้นที่ผิวสัมผัสกับเอนไซม์ได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันต่อมน้ำลายก็จะหลั่งน้ำลายออกมาช่วยคลุกเคล้าให้อาหารเป็นก้อนลื่นสะดวกต่อการกลืน  เอนไซม์ในน้ำลาย คือ ไทยาลิน หรืออะไมเลสจะย่อยแป้งในระยะเวลาสั้น ๆ ในขณะที่อยู่ในช่องปากให้กลายเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเล็กกว่าแป้ง แต่ใหญ่กว่าน้ำตาล  และถูกย่อยต่อไปจนเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่



ต่อมน้ำลาย (Silvary Gland) เป็นต่อมมีท่อ  ทำหน้าที่ผลิตน้ำลาย (Saliva) ต่อมน้ำลายของคนมีอยู่ 3 คู่     1.  ต่อมน้ำลายใต้ลิ้น (Sublingual  Gland) 1 คู่
2.  ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกรล่าง (Submandibulary Gland) 1 คู่
3.  ต่อมน้ำลายข้างกกหู (Parotid Gland)  1 คู่
ต่อมน้ำลายทั้ง 3 คู่นี้ ทำหน้าที่สร้างน้ำลายที่มีเอนไซม์( น้ำย่อย) ชื่ออะไมเลส  ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ย่อยสารอาหารจำพวกแป้งเท่านั้น 
( ต่อมน้ำลายจะผลิตน้ำลายได้วันละ     1 – 1.5 ลิตร )

หลอดอาหาร

หลอดอาหาร เป็นท่อกลวงขนาดสั้น มีความยาวประมาณ 25 เซนติเมตร ส่วนปลายของหลอดอาหารเป็นกล้าเนื้อหูรูด ซึ่งสามารถบีบตัวให้หลอดอาหารปิด  เพื่อป้องกันไม่ให้อาหารที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อยกลับสู่หลอดอาหารอีก หลอดอาหารไม่มีหน้าที่ในการย่อยอาหาร แต่ทำหน้าที่เป็นทางลำเลียงอาหารไปสู่กระเพาะอาหารเท่านั้น ท่อลำเลียงอาหารอยู่ด้านหลังของหลอดลมและทะลุกระบังลมไปต่อกับปลายบนของกระเพาะอาหาร ทำหน้าที่ลำเลียงอาหารที่เคี้ยวแล้วลงสู่กระเพาะอาหาร โดยการบีบรัดขอผนังกล้ามเนื้อ

กระเพาะอาหาร
กระเพาะอาหารเป็นอวัยวะที่เชื่อมต่อจากหลอดอาหาร  อยู่บริเวณด้านบนซ้ายของช่องท้อง  ถัดจากกระบังลมลงมา  มีความยาวประมาณ  10 นิ้ว  กว้าง  5 นิ้ว  จึงถือว่าเป็นส่วนของทางเดินอาหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุด  

แบ่งออกได้เป็น  3  ส่วนคือ

1. ส่วนบนสุด  หรือส่วนใกล้หัวใจ  (Cardiac Region หรือ  Cardium) อยู่ต่อจากหลอดอาหาร  มีกล้ามเนื้อหูรูด (Cardiac Sphincter)

2. ฟันดัส (Fundus) เป็นส่วนที่ 2 มีลักษณะเป็นกระพุ้ง

3. ไพโลรัส  (Pylorus) เป็นส่วนปลายที่ติดต่อกับลำไส้เล็ก  เป็นส่วนที่แคบกว่าส่วนอื่นๆ  ตอนปลายของกระเพาะอาหารส่วนนี้มีกล้ามเนื้อหูรูด  เรียกว่า  ไพโลริด  สฟิงก์เตอร์  (Pyloric Sphincter) ป้องกันมิให้อาหารเคลื่อนเลยกระเพาะอาหารขณะย่อย    กระเพาะอาหารมีกล้ามเนื้อหนาแข็งแรงมาก และยืดหยุ่นขยายขนาดบรรจุได้ถึง  1000-2000  ลูกบาศก์เซนติเมตร 

การย่อยที่กระเพาะอาหารจะมีการย่อยโปรตีนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ที่มา: http://www.med.cmu.ac.th/dept/vascular/human/lesson/lesson1.php

การดูดซึมสารอาหาร

ลำไส้เล็ก(small intestine)

เป็นบริเวณที่มีการย่อยและการดูดซึมมากที่สุด โดยเอนไซม์ในลำไส้เล็กจะทำงาน
ได้ดีในสภาพที่เป็นเบส ซึ่งเอนไซม์ที่ลำไส้เล็กสร้างขึ้น ได้แก่


  1. มอลเทส (maltase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยน้ำตาลมอลโทสให้เป็นกลูโคส
  2. ซูเครส (sucrase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยน้ำตาลทรายหรือน้ำตาลซูโครส (sucrose) ให้เป็นกลูโคสกับ
    ฟรักโทส (fructose)
  3. แล็กเทส (lactase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยน้ำตาลแล็กโทส (lactose) ให้เป็นกลูโคสกับกาแล็กโทส (galactose)    

         การย่อยอาหารที่ลำไส้เล็กใช้เอนไซม์จากตับอ่อน (pancreas) มาช่วยย่อย
                      
                                     อาหารต่างๆ เมื่อถูกย่อยแล้ว จะถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็กเกือบทั้งหมด คือประมาณ 95 % ทั้งนี้เพราะเยื่อเมือก (Epithelial cells) ของผนังลำไส้เล็กนอกจากจะย่นพับไปมาแล้ว ยังมีส่วนที่เรียกว่า ปุ่มซึม (Villi) ยื่นออกมาจากผนังลำไส้ มีลักษณะคล้ายนิ้วมือ ในคนมีประมาณ 18 ถึง 40 ปุ่ม ต่อพื้นที่ 1 ตารางมิลลิเมตร หรือประมาณ 4-5 ล้านปุ่ม ตลอดผนังลำไส้เล็กทั้งหมด เป็นการเพิ่มพื้นผิวของลำไส้เล็กประมาณ 3-18 เท่า ทำให้เกิดเนื้อที่มากมายที่อาหารจะมาสัมผัสเพื่อถูกดูดซึมได้มากขึ้นและเร็วขึ้น เซลล์เมือกที่ผนังของปุ่มซึมจะเลือกคัด (Selective Absorption) ให้สารอาหารที่เหมาะสมบางสารเท่านั้นซึมผ่านได้ เช่น ตามลักษณะแล้ว น้ำตาลกาแลคโทสจะผ่านได้ดีกว่าฟรุคโทส และกลูโคส แต่ความจริงแล้วกลูโคส กลับซึมผ่านได้ง่ายกว่าอีกสองชนิด ทั้งนี้เพราะร่างกายใช้กลูโคสมากที่สุด
ปุ่มซึมแต่ละอัน (Villus) มีกล้ามเนื้อซึ่งสามารถยึดหดได้ ภายในปุ่มซึมมีเส้นเลือดฝอยมากมาย (Capillaries) ทั้งหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ ติดต่อกันเป็นตาข่าย เพื่อรับอาหารที่ถูกย่อยแล้วดูดซึมเข้าไป ส่วนแกนกลางเป็นท่อน้ำเหลือง (Lacteals หรือ Chyle Vessels)  ทำหน้าที่ดูดซึมไขมัน ได้แก่กรดไขมันกลีเซอรอลโมโนกลีเซอไรด์ และไดกลีเซอไรด์และวิตะมินที่ละลายในไขมัน คือ วิตะมิน เอ ดี อี และ เค

การดูดซึมในลำไส้เล็กจึงมี 2 ทาง คือ

1. ทางเส้นเลือดฝอย กรดอะมิโน น้ำตาลชั้นเดียว และไขมันเพียงส่วนน้อย ประมาณ 1 ใน 3 ของไขมันทั้งหมด ผ่านเข้าทางเส้นเลือดฝอยของปุ่มซึมไปยังเส้นเลือดดำ (Portal Vein) เขาสู่ตับ แล้วผ่านไปเข้าเส้นเลือดใหญ่ ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย

2. ทางหลอดน้ำเหลือง ไขมันส่วนมาก คือประมาณ 2 ใน 3 ของไขมันทั้งหมด และวิตะมินที่ละลายในไขมัน จะผ่านเข้าทางหลอดน้ำเหลืองของปุ่มซึม ไปยังหลอดน้ำเหลืองใหญ่สู่ Thoracic Duct และหลอดเลือดใต้กระดูกไหปลาร้าด้านซ้าย (Left Subclavian Vein), Left Innominate Vein หลอดเลือดที่นำเลือดจากส่วนบนของร่างกาย (Superior Vena Cava) เข้าสู่หัวใจห้องบนด้านขวา (Right Atrium)
ในลำไส้เล็กนอกจากจะมีการดูดซึม คาร์โบไอเดรท ไขมัน และ โปรตีนแล้ว ยังมีการดูดซึม เกลือแร่ วิตะมิน และน้ำ ตลอดความยาวของลำไส้เล็ก

ลำไส้ใหญ่(colon)
สำไส้ใหญ่  มีความยาวประมาณ  1.50 เมตร  กว้างประมาณ  6 เซนติเมตร  แบ่งออกเป็น  3 ส่วนคือ  ส่วนที่ 1 ซีกัม  (Caecum) เป็นลำไส้ใหญ่ส่วนต้น  ยาวประมาณ  6.3-7.5 เซนติเมตร  มีไส้ติ่ง  (Appendix)  ยื่นออกมาขนาดราวนิ้วก้อย  (ยาวประมาณ  3 นิ้ว)เหนือท้องน้อย  ทางด้านขวา  ไส้ติ่งถือว่าเป็นต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่ง  ในสัตว์กินพืชจะมีขนาดยาว  ทำหน้าที่ช่วยในการย่อยอาหารในคนไม่มีประโยชน์  ถ้าอักเสบต้องรีบผ่าตัดออกโดยเร็ว
โคลอน  (Colon)  เป็นส่วนที่ยาวที่สุด  แบ่งออกเป็น  3  ส่วนย่อย คือ
                โคลอนส่วนขึ้น  (AscendingColon) เป็นส่วนของโคลอนที่ยื่นตรงขึ้นไปเป็นแนวตั้งฉากทางด้านขวาของช่องท้อง  ยาวประมาณ  20 เซนติเมตร
                โคลอนส่วนขวาง  (Transverse Colon) เป็นส่วนที่วางพาดตามแนวขวางของช่องท้องยาวประมาณ  50 เซนติเมตร
                โคลอนส่วนล่าง  (Descending Colon) เป็นส่วนที่วิ่งตรงลงมาเป็นแนวตั้งฉากทางด้านซ้ายของช่องท้อง  ยาวประมาณ  30 เซนติเมตร             ที่ลำไส้ใหญ่ไม่มีการย่อย แต่ทำหน้าที่เก็บกากอาหารและดูดซึมน้ำออกจาก กากอาหาร ดังนั้น ถ้าไม่ถ่ายอุจจาระเป็นเวลาหลายวันติดต่อกันจะทำให้เกิดอาการท้องผูก ถ้าเป็นบ่อยๆจะทำให้เกิด
โรคริดสีดวงทวาร
                   การดูดซึมในลำไส้ใหญ่ส่วนมากได้แก่น้ำ ซึ่งติดมากับกากอาหารจากลำไส้เล็ก กากอาหารนี้เรียกว่าอุจจาระได้แล้ว ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า ขี้อ่อน ลำไส้ใหญ่จะดูดน้ำกลับเข้าไปในร่างกายที่ให้ขี้อ่อนเป็นขี้แข็งและเหนียว เหมาะที่จะถ่ายออกได้พอดีๆ แต่ถ้าท้อง ผูก (Constipation) ไม่ถ่ายตามกำหนด ยิ่งนาน การดูดน้ำก็ยิ่งมากขึ้น จนอุจจาระแห้งและแข็ง ทำให้ถ่ายยาก และทรมานที่สุด
นอกจากน้ำแล้ว ลำไส้ใหญ่ยังทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารอื่นอีกบ้างเล็กน้อย เนื่องจากย่อยที่อื่นไม่ได้จำต้องย่อยด้วยแบคทีเรีย เช่น เซลลูโลส เป็นต้น

เอนไซม์ต่างๆในการย่อยอาหาร

เอนไซม์ต่างๆในการย่อยอาหาร เอนไซม์ แหล่งที่พบในร่างกาย หน้าที่ของเอนไซม์ อะไมเลส* ปาก ย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลมอลโทส เพปซ...